วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แอทแลนทิสมีจริงหรือ?

หลายๆคนคงเคยได้ยินชื่อของ "แอทแลนทิส" มหานครที่สาปสูญ บ้างก็ว่าเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองในอดีต บ้างก็ว่าเป็นเมืองใต้ทะเล เราลองมาดูประวัติศาสตร์ของ "แอทแลนทิส" กันซักหน่อย   เมื่อ 2,300 ปีก่อน หลักฐานเริ่มแรกเกี่ยวกับแอตแลนติส มีอยู่ในหนังสือของเพลโตนักคิดแห่งกรุงเอเธนส์ ที่เขียนราวปีก่อนคริสตกาล เขียนขึ้นเมื่ออายุ 70 ต้นๆ โดยเป็น เรื่องเชิงสนทนาระหว่างเพลโต้กับปราชญ์ชาวกรีกชื่อ " ไครติอัส" โดย"ไครติอัส"เป็นลุงของเพลโต (บางตำราบอกว่าเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องกัน)  ครีเอทัสได้เล่าเรื่องราวอันแปลกแต่จริงให้พลาโตฟัง เกี่ยวกับการเกินทางของโซลอน นักปราชญ์และพ่อค้านักผจญภัย ชาวเอเธนส์ ซึ่งได้เคยเดินทางไปอียิปต์มา แล้ว เมื่อปี 571 ก่อนคริสต์กาล และที่อียิปต์นี้เองที่โซลอนได้รับรู้ เรื่องราวอันแสนประหลาดจากนักบวชแห่งเมืองซาอิส แถบบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์อีกทีว่า เมื่อประมาณ 2-3 หมื่นปีมาแล้วมีเกาะถวีปแห่งหนึ่ง ถัดจาก เสาค้ำฟ้าของเฮอร์คิวลิส ( ชื่อของช่องแคบยิบรอลต้าในปัจจุบัน ) เกาะแห่งนี้มีชื่อว่าแอตแลนติส เป็นศูนย์กลางแห่งอาณาจักร อันยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองซึ่งเต็มไปด้วยประชาชน ผู้มั่งคั่งและมีอารยธรรมอันสูงส่ง ทั้งเมืองเต็มไปด้วย ทองคำเหลืองอร่าม เกาะแอตแลนติสสามารถติดต่อ กับแผ่นดินอื่นๆได้ทางเรือ ด้วยอานุภาพของกองทัพเรือ อันยิ่งใหญ่ ทำให้อาณาจักรนี้สามารถขยายอำนาจ และอิทธิพลแผ่ขยายไปจนถึงลิเบีย อาณาเขตตอนเหนือ ของอียิปต์และไกลออกไปถึงยุโรปจรดกับกับ ดินแดนเทอรีเนีย ( ตอนเหนือของอิตาลี่ในปัจจุบัน ) แต่แล้วจู่ๆ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ก็กลับจมหายไปใต้ พื้นทะเลลึกเพียงชั่ววันและคืนเดียวเท่านั้น โดยมีสาเหตุ มาจากการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดและอุทกภัย ครั้งใหญ่ที่สุดในโลกทำให้กลุ่มชนชาติแอตแลนติส ถูกกลืนชีวิตไปจนเกือบหมดสิ้น กล่าวกันว่าชาวแอตแลนติสจำนวนน้อยที่สามารถ รอดชีวิตจากภัยพิบัติไปได้อย่างหวุดหวิด และได้อพยบ ไปอยู่ที่อื่นส่วนที่มุ่งสู่ ดินแดนตะวันตกกลายมาเป็น บรรพบุรุษของพวกอินเดียน ชาวอินคา และชาวมายา เป็นต้น ส่วนที่มุ่งสู่ดินแดนทิศตะวันออกก็กลายมา เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เผ่า โครมันยองซึ่งมีร่างกาย สูงใหญ่ บึกบึน กระดูกข้อมือข้อเท้าใหญ่ มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงทุกประการ มิหนำซ้ำ คนเหล่านี้ที่ต่างเคยอาศัย อยู่คนละฟากฟ้า แต่ต่างก็มีตำนานเล่าสืบต่อกันมา เหมือนๆกันว่าเคยมีดินแดนแห่งหนึ่ง ทีเจริญรุ่งเรืองมาก ต่อมาเกิดภัยธรรมชาติทำลายจนย่อยยับ

                        ทฤษฎีของแอทแลนทิสนั้น ยังส่งผลกระทบต่อนักโบราณคดีทั่วโลกเป็นวงกว้างทั้งยังก่อเกิด ทฤษฎีเกี่ยวกับที่ตั้งของแอทแลนทิสอีกมากมาย ยังมีบางทฤษฎีที่กล่าวว่า แอทแลนทิสกับทรอยนั้น คือเมืองเดียวกัน ด้วย เหตุว่าเมืองทรอยนั้นตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่คาดว่าน่าจะเป็น แอทแลนทิสมาก ทั้งยังมีสภาพภูมิประเทศโดยรอบที่คล้ายกันจนน่าตกใจ และ เมื่อไม่นานมานี้นักโบราณคดี ที่เข้าไปสำรวจซากปรักหักพังของเมืองทรอยในอดีตยังพบว่าผังเมืองของ ทั้ง 2 เมืองมีความคล้ายกันเป็นอย่างมาก ต่างกันก็แต่ ขนาดพื้นที่ที่น่าจะเป็นเมืองทรอยนั้นเล็กกว่า ขนาดของอณาจักรแอทแลนทิส ตามที่เพลโตเคยกล่าวไว้  แต่ก็ยังมีนักสำรวจบางกลุ่มที่ยังคาดว่า พื้นที่โดยรอบของเมืองทรอยนั้นน่าจะขยายของเขตออกไปอีกมากกว่า บริเวณที่เป็นซากปรักหักพัง
อีกทฤษฎีหนึ่งที่กล่าวถึงตำแหน่งของแอทแลนทิสว่าอยู่ ในทวีปอเมริกานั่นเอง ด้วยเหตุว่า แอทแลนทิสนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่โตมโหฬารมาก จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่จะจมลงสู่มหาสมุทรทั้งหมด ประกอบกับ พื้นที่ในอเมริกานั้น สามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังทวีปต่างๆ ได้มาก จึงเป็นการสนับสนุนในข้อที่ว่าแอทแลนทิสนั้น ติดต่อค้าขายกับทั่วโลก 
                 อย่างไรก็ตามประเด็นที่เกี่ยวกับสาเหตุและสภาพการณ์ในขณะที่เกาะ แอตแลนติสล่มสลายนั้น ได้พบคำอธิบาย 2 อย่างด้วยกัน
           อย่างแรกเป็นคำอธิบายของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ เซ็มยาเซ  ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แก่ผู้ติดต่อชาวโลกที่ชื่อ ไมเยอร์ อย่างที่สองเป็นคำอธิบายของ แฟรงค์ อัลเปอร์ ผู้รักษาโรค ด้วยพลังจิตและเป็น คนทรงเจ้า ผู้อ่านอย่าเพิ่งปฏิเสธว่า เป็นเรื่องเหลวไหล ที่ต้องพึ่งแหล่งข้อมูล จากมนุษย์ต่างดาวกับคนทรงเจ้า เพราะเรากำลังพูดถึงเรื่องราว ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน โดยไม่มีหลักฐานทีเป็นเอกสารใดๆ  หลงเหลือจะเริ่มจากคำอธิบายของมนุษย์ต่าง ดาวที่ชื่อว่าเซ็มยาเซ มาจากกลุ่มดาวเพลอาเดียสและเป็นสตรีเพศ เธอมาเยือน ไมเยอร์ ครั้งแรกในวันที่ 28 มกราคม 1975 นับเป็นมนุษย์ต่างดาว คนที่ 3 ที่มาติดต่อกับไมเยอร์ คนแรกชื่อ สุฟาตะ แอสเกต และ เซ็มยาเซ ไมเยอร์ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวผู้นี้ราวๆ 200 ครั้ง มีถึง 115 ครั้ง ที่มีการบันทึกสนทนาไว้ เซ็มยาเซได้เล่าเรื่องของแอตแลนติสให้ไมเยอร์ฟังว่า เมื่อสี่หมื่นปีที่แล้ว พวกลูกหลานของมนุษย์ต่างดาว ( แต่คนโบราณเข้าใจผิดไปเรียกว่า เทพเจ้า ) ได้กลับมาเยือน โลกและปกครองโลกในนาม เทพเจ้า อีกครั้ง นามของผู้ปรกครองคือ แอตแลนโตภรรยาของผู้ปกครองคือ คาเรียทีด บิดาของนางชื่อ มูราส แอตแลนโตได้สร้างเมืองแอตแลนติสขึ้นที่เกาะแอตแลนติส ใหญ่ขณะที่มูราสได้สร้างเมืองมูขึ้นมาที่แอตแลนติสเล็ก เมืองแอตแลนติสเล็ก และมู เป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด จนกระทั่งมีนักวิทยาศาสตร์ 2-3 คน ที่จะตกเป็นทาส ของกิเลสบ้าอำนาจจึงคิดการใหญ่ แต่ชาวเมืองทั้งสองนคร ไม่ยอม ลุกขึ้นต่อต้านนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นให้จำต้องลี้ภัยไป อยู่นอกสุริยะพวกนักวิทยาศาสตร์หลบไปอยู่ที่นอกระบบสุริยะ จักรวาลประมาณ สองพันปี ได้พัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค จนมีความมั่นใจว่าจะมาบุกโลกแก้แค้นได้สำเร็จ แล้วก็ได้สงพวกตนภายในการนำของ เอาลาส จำนวนสองร้อยคนนั่งยานอวกาศ มายึดครองพื้นที่แถบฟลอริดา เอาลาส ผู้นี้แหละ ทีเป็นผู้ยุแหย่ให้ชาวเมืองแอตแลนติสกับชาวเมืองมู บาดหมางกัน จนกระทั่งเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุด ที่ตั้งของนครมู อยู่ตรงมะเลทรายโกบี ที่ตั้งของแอคแลนติสเป็น เกาะใหญ่อยู่ระหว่างทวีปอเมริกา กับ แอฟริกา กำลังรบของทั้งสอง ฝ่ายก็ยิ่งใหญ่พอๆกัน และก็มีเทคโนโลยีขั้นสุดยอมเหมือนกัน กองทัพแอตแลนติสมีกำลังทหารสี่ล้านแปดแสนคน มียานอาวุธ ติดอาวุธแสงมหาปะลัย มีเรื่อรบประจัญบาน หนึ่งแสนสองหมื่นสามพันลำกับเรือเร็วติดอาวุธแสงอีก
                     ดังนั้นพวกนักวิทยาศาสตร์ของฝ่ายมู จึงคิดค้นเทคโนโลยิ ที่จะนำเอาดาวพระเคราะห์ดวงเล็กๆ มาทำให้เป็นเหมือนกระสุน โดยพวกเขาได้นั่งยานอวกาศออกไปจนเลยวงโคจรของดาวอังคาร เพื่อเสาะแสวงหาดาวพระเคราะห์ดวงเล็กๆ ที่เหมาะสม ในที่สุด พวกเขาก็พบดาวเล็กๆ ดวงหนึ่งซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง หลายกิโลเมตรพวกเขาได้ใช้พลังงานจากอะตอมและอิเล็กทรอนิกส์ ผลักดันให้ดาวเล็กๆดวงนั้น หลุดจากโคจรเดิม และเคลื่อนย้าย เข้ามาสู่วงโคจรของโลก การหมุนรอบตัวเองของดาวดวงนี้ ถูกทำให้หยุดชะงัก และพวกมูได้นำเอาเครื่องมือขนาดยักษ์เข้าไปติด ทำให้ดาวดวงนี้กลายเป็นกระสุนปืนใหญ่จักรวาลที่สามารถบังคับ ให้ขับเคลื่อนได้โดยคลื่นซูเปอร์โซนิค พวกมูสร้างอาวุธนี้ ช้าไปก่อนหน้านั้น กองทัพแอตแลนติสได้ยกพลเข้ามาถล่มนครมู จนพินาศย่อยยับ แต่ตอนนั้นเครื่องยนต์กระสุนปืนใหญ่ได้งานแล้ว ชาวแอตแลนติสนึกว่าชนะสงคราม ก็หลงระเริงอยู่ในชัยชนะของตน กระสุนปืนใหญ่ก็ระเบิดกลางเวหา ในตำแหน่งสูง 172 KM จากดิน ส่วนหนึ่งกลายเป็นลูกอุกกาบาต ตกลงมาถล่มแอตแลนติสจนย่อยยับ ส่วนดาวเล้กๆที่เหลืออีกสองในสามตกลงบนทะเลทะลุพื้นโลก ทำให้เกิดความร้อนใต้พื้นโลกที่เป็นแมกมาพุ่งทะลักออกมา ขณะเดียวกันก็เกิดเป็นคลื่นทะเลยักษ์สูงถึงสองพันสามร้อยเมตร และกลืนนครแอตแลนติสจมลงใต้ทะเลในที่สุด
                     คำอธิบายของบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก อย่าง แฟรงค์ อัลเปอร์นั้น ไม่ค่อยเน้นเรื่องสาเหตุและ สภาพการณ์ในขณะล่มสลายของเมืองแอตแลนติสเท่าไรนัก
คำบอกเล่าจากชาวแอตแลนติสที่ชื่อ สโตเลนส์ที่มาเข้าทรง
เราจะเริ่มจากเรื่องราวของทวีปเรมูเลียหรือ ทวีปมู อารยธรรมของทวีปมูนี้ดำรงยาวนานกว่าหนึ่งแสนปี ชาวมูแบ่งออกได้เป็นสองพวก พวกหนึ่งรักสันติอีก พวกหนึ่งชอบทำสงคราม ทั้งสองพวกนี้ต่างมีวิทยาการที่ ก้าวหน้าในระดับที่สูงมาก พวกที่รักสันติมักให้ความสนใจ กับเรื่องความรู้ความเจริญและพระเจ้า แต่พวกที่กระหาย สงครามมักให้ความสนใจในเรื่องพลัง และทำลาย แอตแลนติสเกิดหลังทวีปมูราวๆ 20000 ปี คือ เมื่อแปดหมื่นเก้าพันปีก่อนคริสตกาล ในหมู่แอตแลนติส ไม่มีพวกกระหายสงครามอยู่เลย เมื่ออารยธรรมแอตแลนติส เจริญรุ่งเรืองพวกกระหายสงครามของฝ่ายมูได้ตัดสินใจ ขยายอิทธิพลมาถึงแอตแลนติส พวกมูได้เเอบขุดอุโมงค์ ใต้ดินที่เชื่อมทั้งสองแห่งไว้ด้วยกัน เพราะความพยายาม ที่จะยึดครองแอตแลนติสของพวกมูได้นำไปสู่ภาวะ สงครามระหว่างเมืองสองเมืองนี้ และดำรงความขัดแย้ง มานานถึงห้าหมื่นปี ในตอนแรกเป็นการปะทะสู้รบกัน ในระดับเล็กย่อย แต่ครั้นเวลาผ่านไปความรุนแรงในการ สู้รบของทั้งสองฝ่ายหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็นำมาซึ่งการล่มสลายของทั้งสองฝ่ายและทวีปมูและ แอตแลนติสต่างจมลงสู่ก้นทะเลคราวที่เกิดการขยับตัว ของเปลือกโลกครุ้งใหญ่ เมื่อ แปดหมื่นห้าพันปี คำบอกเล่าของชาวแอตแลนติสชื่อ อะดามิส แอตแลนติสถูกสร้างขึ้นบนโลกโดยมนุษย์ต่างดาว ในฐานะที่เป็นอารยธรรมทดลอง โดยมีเป้าหมายเพื่อ ถ่ายทอดวิทยาการที่ล้ำยุคให้แก่ชาวโลกในอนาคต ได้ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะต่อวิวัฒนาการของมนุษย์ สาเหตุหลักที่ทำให้แอตแลนติสล่มสลายนั้นมาจาก การเปลี่ยนแปลงแห่งคลื่นของโลกใบนี้ การล่มสลายของแอตแลนติสเกิดจากหลายสาเหตุ ด้วยกันสาเหตุอันหนึ่งก็คือชาวแอตแลนติสจำนวนมาก ที่มุ่งขยายความเป็นอัตตาของตัวเองมากไปจนถึงขีด จำกัดในการเจริญเติบโตของมัน ถ้าพวกเขาพอใจที่ จะหยุดอยู่แค่ระดับการเจริญเติบโตและพลังที่ควบคุม ได้ที่ตนเองไปถึง การล่มสลายก็คงไม่เกิดขึ้น แต่มนุษย์เป็นสัตว์ที่อยู่นิ่งไม่ได้ กฎของจักรวาลได้ บังคับให้มนุษย์ต้องเคลื่อนไหวไปไม่ทิศทางใดก็ ทิศทางหนึ่ง และทิศทางที่ชาวแอตแลนติสเลือกเดิน ต่อไปอีกนั้นเป็นทิศทางทีเป็นลบ ระแวงสงสัย อัตตา แรงกล้าและหลงตัวเองจึงนำไปสู่ จุดจบ
                 จากทฤษฎีที่กล่าวมาข้างต้น และทั้งจากตัวของเพลโตเองนั้นก็ดูจะเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินจินตนาการของมนุษย์ไปหน่อย ประกอบกับระยะเวลาอันยาวนาน ซึ่งทำให้เรื่องราวของแอทแลนทิสดูจะกลายเป็นเพียงเรื่องราวในจินตนาการและเทพนิยาย แต่ก็ยังมีผู้คนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังคงเชื่อว่าแอทแลนทิสมีอยู่จริง แม้แต่ googleEarth เอง ก็ยังเคยถ่ายภาพที่น่าจะเป็นผังเมืองของแอทแลนทิสได้อีกด้วย


     
                             *** เรื่องราวของ Atlantis นั้นได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์หลายต่อหลายครั้งด้วยกัน และยังมีการนำมาสร้างเป็นการ์ตูน ภายใต้ชื่อ Atlantis The Lost Empire ซึ่ง เป็นของค่ายยักษ์ใหญ่แห่งวงการการ์ตูน waltdisney นั่นเอง***


 อ้างอิง